เรื่องสิว ๆ ปัญหายอดฮิต ที่กวนใจหลาย ๆ คน ไม่เว้นแต่ละวัน มีอยู่สักช่วงหนึ่งที่ทุกคนคงเคยได้ยินกันบ่อย ๆ พวกคำโฆษณาขายของเกินจริง
อย่างเช่น ครีมหน้าใส ใช้แล้วขาวขึ้นทันที เห็นผลทันตา ภายใน 3 วัน ไม่ระบุส่วนผสมชัดเจน เชื่อว่ามีคนที่อาจจะเผลอไปเชื่อการตลาดเหล่านี้ จนซื้อมาใช้ พอใช้ไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มมีปัญหาผิวตามมา
ต่อเลิกใช้ไปแล้ว แต่สิวก็ยังเห่อไม่หยุด เราเรียกสิวประเภทนี้ว่า “สิวสเตียรอยด์” หรือ สิวติดสาร สิวแพ้สาร ซึ่งความหมายก็ตรงตามตัว เป็นสิวที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์มากเกินไป แต่นอกจากการใช้พวกเครื่องสำอาง สกินแคร์ที่มีสเตียรอยด์ ก็ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้หน้าติดสารสเตียรอยด์ได้เช่นกัน
ใครที่กำลังเครียดว่าหน้าติดสาร จะรักษายังไงดี หายกังวลใจได้เลย เพราะวันนี้ เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับสาเหตุ และบอกวิธีรักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยตัวเอง แบบไม่ต้องเสียเงินหลักหมื่น ก็ช่วยกู้หน้าสวย ๆ กลับมาดูดีได้ดังเดิม ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
วิธีรักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยตัวเอง [สรุป]
- ใช้ผลิตภัณฑล้างหน้าหรือครีม Benzoyl peroxide
- ใช้ Salicylic acid สำหรับสิวอุดตัน
- Retinoids ดูแลภาพรวมสิว
- ปรึกษาแพทย์ทานยา Antibiotics
- ใช้แชมพูขจัดรังแค [สำหรับสิวยีสต์]
สิวสเตียรอยด์ คืออะไร เกิดจากอะไร
สิวสเตียรอยด์ คือ สิวรูปแบบหนึ่ง ที่มีอาการคล้าย ๆ กับสิวทั่วไป ต่างกันตรงที่ สิวปกติจะเกิดจากการสะสมของแบคทีเรีย หรือ P.acnes และเป็นการอักเสบของต่อมน้ำมันบนรูขุมขน
แต่สิวสเตียรอยด์ เกิดจากการใช้สารสเตียรอยด์ ไม่ว่าจะเป็นแบบฉีด สูดดม หรือรับประทาน ซึ่งไปกระตุ้นให้ต่อมน้ำมันไวต่อการอักเสบ ทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้เกิดสิวสเตียรอยด์ได้หมด
สิวสเตียรอยด์ 2 ประเภท ที่พบเห็นได้บ่อย ได้แก่
- Acne Vulgaris : เป็นประเภทที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการรักษาด้วยยา เพรดนิโซโลน (Prednisolone) เป็นยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) เป็นเวลานาน
- รูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา (Malassezia Folliculitis) : คุ้นเคยกันในชื่อ “สิวยีสต์” หรือ Fungal Acne มักจะมีอาการคัน ขึ้นบริเวณหน้าอก ลำตัว รวมถึงใบหน้า ตัวกระตุ้นชั้นดี ที่ทำให้ Malassezia เติบโตได้ดี ก็คือ สเตียรอยด์
วิธีรักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยตัวเอง
1.ใช้ผลิตภัณฑล้างหน้าหรือครีม Benzoyl peroxide
สิวแทบทุกชนิด ไม่ว่าจะสิวฮอร์โมน สิวอุดตัน สิวอักเสบ ล้วนรักษาด้วยวิธีคล้าย ๆ กัน คือ การใช้ Benzoyl peroxide ที่มาในรูปแบบของผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิด เช่น ครีมรักษาสิว ยาแต้มสิว โฟมล้างหน้า ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด สำหรับการรักษาสิวด้วยตัวเอง
แต่ก็ถือว่าเป็นสารที่สร้าง side effect ได้เยอะเหมือนกัน ถ้าหากเลือกใช้ไม่เหมาะกับสภาพผิว ดังนั้น สิ่งสำคัญในการใช้ Benzoyl peroxide รักษาสิวสเตียรอยด์ คือ ต้องเลือกความเข้มข้นที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง เป็นอันดับแรก
บางคนก็มีผิวที่สามารถทนต่อ Benzoyl peroxide ได้มากกว่า 10% แต่สำหรับคนที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย อาจต้องเลือกที่ความเข้มข้นไม่สูงมาก ราว ๆ 4% ก็เพียงพอ หากใช้สำหรับใบหน้า หรือบริเวณที่ผิวบอบบาง
2.ใช้ Salicylic acid สำหรับสิวอุดตัน
Salicylic acid เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่หลายคนคุ้นเคย เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการรักษาสิวที่ด้วยตัวเอง เพราะกรดซาลิไซลิก สามารถรักษาและป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ดีมาก พอ ๆ กับ Benzoyl peroxide แถมยังอ่อนโยนกว่า
ในกรณีที่กำลังรักษาสิวทุกรูปแบบ รวมถึงสิวสเตียรอยด์ ไม่ว่าจะรักษาที่ใบหน้า หน้าอก ลำคอ หรือตามตัว
จริง ๆ แล้ว Salicylic acid กับ Benzoyl peroxide สามารถใช้คู่กันได้ แต่ไม่แนะนำคู่กันเพราะอาจทำให้ระคายเคืองต่อผิวมากเกินไป ควรเลือกใช้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบของสิว
3.Retinoids ดูแลภาพรวมสิว
เรตินอยด์ (Retinoids) เป็นแนวทางการรักษาสิว อันดับแรก ๆ ที่มีความสำคัญมาก ๆ ก่อนจะไปมองหาตัวช่วยอื่น ๆ ให้ลองใช้ตัวนี้ดูก่อน ยิ่งสิวสเตียรอยด์ ไม่รู้จะใช้อะไรดี ให้ต้องลองศึกษาการใช้เรตินอยด์ดูก่อน
เพราะเรตินอยด์ เป็นตัวช่วยดูแลสิว ดูแลภาพรวมของสภาพผิวหนังทุกรูปแบบ โดยสรรพคุณของเรตินอยด์ ยังช่วยลดการเกิดใหม่ของสิว ลดการอุดตันรูขุมขน รักษาสิวได้ดี และยังลดการทิ้งรอยแผลจากสิวได้ด้วย
พวกครีม โฟม เจล ที่มีเรตินอยด์ จะช่วยรักษาระดับการผลิตน้ำมันบนผิวหนัง ลดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และลดการอักเสบได้ดีมาก อาจต้องใช้เวลา 3 เดือนในการใช้งานเป็นประจำจึงจะเห็นผล
Tips การใช้เรตินอยด์รักษาหน้าติดสารสเตียรอยด์
- ทาครีมเรตินอยด์ขนาดเท่าเมล็ดถั่วให้ทั่วผิว วันละ 1 ครั้ง หลังล้างหน้า 20-30 นาที
หากใช้เรตินอยด์ครั้งแรก แล้วมีรอยแดง ผิวลอก หรืออาการสิวแย่ลง ให้ลดปริมาณการใช้ จากวันละครั้ง เป็นวันเว้นวัน จนกว่าร่างกายจะชิน หรือให้ใช้ผสมกับมอยส์เจอร์ไรเซอร์
4.ปรึกษาแพทย์ทานยา Antibiotics
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) เป็นทางเลือกสุดท้าย สำหรับใครที่ลองทำตามวิธีด้านบน แล้วไม่ได้รับผลลัพธ์ที่พึงพอใจ แนะนำให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะแบบรับประทานแบบ off-lebel ให้ หรือยาปฏิชีวนะเฉพาะที่เพื่อรักษาสิวสเตียรอยด์
แต่การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ และยาปฏิชีวนะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาสิวในระยะยาว ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
5.ใช้แชมพูขจัดรังแค [สำหรับสิวยีสต์]
เพราะสิวยีสต์ เกิดจากเชื้อรา ดังนั้น ควรฆ่าเชื้อราให้หมดไป ด้วย Ketoconazole, Zinc Pyrithione หรือ Selenium Sulfide ที่หาได้ง่าย ๆ ในแชมพูขจัดรังแค
โดย Dr. Kim แนะนำให้ทาลงบนผิวที่แห้งบริเวณที่เป็นสิวยีสต์ 10 นาที แล้วล้างออก จะช่วยฆ่าเชื้อรา Malassezia Folliculitis สาเหตุของสิวยีสต์ได้
Tips รักษาสิวสเตียรอยด์ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
- ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน อย่างน้อย วันละ 2 ครั้ง ควรเป็นเวลาก่อนนอนตอนกลางคืน และ ตอนเช้าหลังตื่นนอน
- ใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดเหงื่อออกจากผิวเมื่อออกกำลังกาย อย่าปล่อยให้มีการหมักหมมของแบคทีเรีย
- ใช้ผลิตภัณฑ์ หรือ ใช้สกินแคร์ที่ช่วยเรื่องสิวให้ถูกประเภท และเลือกความเข้มข้นที่เหมาะสมกับผิวหน้าตัวเอง
คำถามที่พบบ่อย
สิวสเตียรอยด์ รักษานานไหม?
สิวสเตียรอยด์ รักษานานประมาณ 3-6 เดือน การที่หน้าแพ้สารสเตียรอยด์ จนเกิดเป็นสิวสเตียรอยด์ขึ้นมา แน่นอนว่าต้องใช้เเวลารักษานานกว่าสิวทั่ว ๆ ไป ที่บางกรณีใช้ยาแต้มสิวก็ดีขึ้นได้เร็ว เพราะสิวสเตียรอยด์เป็นปัญหาที่ล้ำลึกกว่ามาก การจะแก้ที่สาเหตุจึงต้องใช้เวลานานกว่า
ในกรณีที่ใช้ยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง อาจใช้เวลา 4-8 สัปดาห์ ก่อนจะเผยผลลัพธ์ที่ดีขึ้นภายใน 3-6 เดือน
มีการศึกษา พบว่า การใช้ Tretinoin 0.05% ซึ่งเป็นยากลุ่มกรดวิตามินเอหรือยาเรตินอยด์ ใช้วันละ 1-2 ครั้ง สามารถช่วยให้สิวสเตียรอยด์หายได้ ภายใน 2-3 เดือน
แน่นอนว่าวิธีทั้งหมดนี้ ที่เราได้รวบรวมมาให้เพื่อน ๆ อาจจะต้องใช้ทั้งเวลา และความอดทน ดังนั้น ต้องมีความใจเย็นมาก ๆ ที่จะทำให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น
สิวสเตียรอยด์รักษายังไงให้หายขาด อาจจะยากลำบากไปสักหน่อย แต่เพื่อกู้หน้าใส ไร้สิวคืนกลับมา บอกเลยว่าความใจเย็นจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแน่นอน เราจะสู้เพื่อผิวสวยไปด้วยกัน!
อ้างอิง
https://www.verywellhealth.com/can-steroids-such-as-prednisone-cause-acne-1942982
https://www.medicalnewstoday.com/articles/325997#treatment
https://www.healthline.com/health/steroid-acne
https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/salicylic-acid-vs-benzoyl-peroxide