แชร์ 12 วิธีรักษาสิวแบบธรรมชาติ เร่งด่วน [ภายใน 7 วัน]

เรื่องสิวๆ ปัญหากวนใจของคนทุกรุ่นทุกวัย ครั้นจะไปหาหมอผิวหนังราคาก็ค่อนข้างสูง หลายคนจึงมองหาทางเลือกวิธีรักษาสิวที่บ้าน โดยวิธีที่ทำได้ง่าย ถูก งบประหยัด ไม่แพง เร่งด่วน

ให้สิวหายภายใน 7 วัน ทำได้จริง อีกทั้งทางทีมงานยังเอาวิธีรักษาสิวแบบธรรมชาติ เร่งด่วนมาฝากกันอีกด้วย ตามอ่านกันได้เลยค่ะว่า 12 ทริคลดรอยสิว รักษาสิวด้วยตัวเองที่บ้าน แบบเห็นผลไว มีวิธีอะไรบ้าง

สาเหตุของการเกิดสิว

สิวเกิดจากการที่รูขุมขนของเราเกิดการอุดตันด้วยไขมันกับเหงื่อไคล เซลล์ผิวที่ตาย หรือแม้กระทั่งครีมกันแดด เครื่องสำอางที่ล้างไม่หมด โดยในรูขุมขนของเราจะมีต่อมในการผลิตไขมันออกมาเป็นปกติอยู่แล้ว

แต่ในบางคน ต่อมไขมันอาจมีการผลิตไขมันออกมาปริมาณมากกว่าปกติ หรือล้างหน้าไม่สะอาด จึงเกิดการอุดตันในรูขุมขนกลายเป็นสิวอุดตัน พออุดตันไปสักพักทำให้เกิดการระคายเคืองและ การเติบโตโตของเชื้อ Propionibacterium acnes หรือ P.acnes จึงเกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดสิว

  • พันธุกรรม
  • อาหารเช่น ของหวาน ผลิตภัณฑ์จากนม
  • ฮอร์โมน
  • ความเครียด
วิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง

แนะนำวิธีรักษาสิว

1.อย่าแคะ บีบ แกะ เกา

ทางที่ดีคือ อย่าพยายาม บีบหรือแกะสิวด้วยตัวเอง นอกจากจะทำให้เป็นแผลเป็นแล้ว ยังเพิ่มโอกาสเป็นสิวอักเสบหนักอีกด้วย

2.ใช้ไม้กดสิว กดหัวอุดตันออก + ทาสกินแคร์บำรุงหลังกด

หากใครที่ทนไม่ไหว อยากกดออก แนะนำให้ใช้ที่กดแบบไม่บาดผิว(แนะนำของหมอมวลชน แบบแสตนเลส) แบบที่ไม่ใช่หัววงกลมนะคะ ซึ่งการหัวสิวอุดตันออก

ก็เป็นวิธีที่หมอผิวหนังหลายท่านแนะนำ และหลังกดควรทาสกินแคร์บำรุงเพื่อป้องกันการเกิดอักเสบ หรือการเกิดแผลเป็นด้วย แต่อย่างไรก็ตามทางที่ดีควรไปกดสิวที่คลินิกเพื่อลดการเกิดแผลจากการกดเองจะดีที่สุดค่ะ

3.ทาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids)

การทาผลิตภัณฑ์กลุ่มเรตินอยด์จะสามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดรอยดำ รอยแดง แผลเป็นจากรอยสิวได้เป็นอย่างดี ซึ่งประเภทของเรตินอยด์ มีแบบ alcohol base และ water base ที่มีขายตามร้านยาทั่วไปเช่น Retin A Differin gel ถือเป็นยาควบคุม จำหน่ายโดยเภสัชกรเท่านั้น

นอกจากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) แล้วยังแนะนำ”เรตินอล” ที่เป็นที่พูดถึงหนักมาก ที่มีผสมในสกินแคร์ชื่อดังแทบจะทุกแบรนด์ ซึ่งเรตินอล มีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูปัญหาผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วยผลัดเซลล์ผิวแบบอ่อนโยน กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และคอลลาเจน จึงเป็นส่วนผสมที่ฮิตมากๆ 

เรตินอล ต่างจาก เรตินอยด์ ยังไง
เรตินอลเป็นสารในกลุ่มเรตินอยด์ และ เรตินอยด์ก็เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอเช่นกัน ซึ่งทั้งสองถือว่าเป็นวิตามินเอที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบของสิว ลดจุดด่างดำ ผลัดเซลล์ผิว ลดการเกิดริ้วรอย

แนะนำผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ เรตินอล
La Roche-Posay Retinol B3 Serum
Kiehl’s Retinol Daily Skin-Renewing Micro-Dose Serum
No7 Pure Retinol Night Repair Cream

4.ใช้ครีมลดรอยสิว 

การใช้ครีมลดรอยสิวหรือ เจลแต้มสิวเป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมส่วนผสมยอดฮิตที่ผ่านจากทดลองมาแล้วว่าใช้ลดรอยแผลเป็นได้จริง สำหรับการเลือกซื้อว่า ครีมลดรอยสิว ยี่ห้อไหนดี มีรวมตัวยอดนิยมดังนี้เลยค่ะ

แนะนำครีมลดรอยสิว ยอดนิยม
Tomei Anti Acne Cream
Puricas Dragon’s Blood Scar Gel
Smooth E Acne Hydrogel Plus

5.ทาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid, Niacinamide หรือ Benzoyl Peroxide

Salicylic Acid คือกรดอ่อนๆที่เป็นส่วนผสมยอดฮิตที่มีในสกินแคร์หลายตัว มีคุณสมบัติในการลด pH ของผิวทำให้ไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย จึงลดการเกิดสิวอักเสบ

นอกจากนี้ Salicylic Acid สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นให้สร้างชั้นผิวใหม่ ละลายสิวหัวขาวและสิวหัวดำ จึงเหมาะกับผู้ที่เป็นสิวอุดตันและสิวอักเสบบ่อย สีผิวไม่สม่ำเสมอ ความเข้มข้น Salicylic Acid ในสกินแคร์ที่แนะนำอยู่ที่ 0.5 -2% ผิวแพ้ง่ายควรเริ่มที่ความเข้มข้นต่ำๆ และแนะนำให้ทากันแดดเป็นประจำ

แนะนำผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid 
Banila Co. Clean It Zero Pore Clarifying
La Roche Posay Effaclar Serum 
Clinique iD™: Dramatically Different™ Hydrating Clearing Jelly Set

Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 (Niacin) เป็นวิตามินที่สามารถช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอให้แข็งแรงขึ้น มีงานวิจัยรองรับหลายตัวถึงประสิทธิภาพของ Niacinamide ต่อผิว ทั้งช่วยลดรอยสิว ลดริ้วรอย ลดรอยแผลเป็น

ช่วยเรื่องสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ลดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและลดเกิดการอักเสบของผิว ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว ปรับสมดุลการสร้างน้ำมันในรูขุมขน ช่วยกระชับรูขุมขน ซ่อมแซมชั้นผิวจากการโดนยูวีทำร้าย เรียกได้ว่าเป็นสารสกัดตัวเทพที่ช่วยเรื่องผิวแบบครอบจักรวาล ที่ควรมีติดโต๊ะเครื่องแป้งนะคะ

แนะนำผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Niacinamide
CeraVe PM Facial Moisturizing Lotion
Kiehl’s Ultra Facial Oil Free Gel Cream
Cetaphil Moisturizing Cream

Benzoyl Peroxide หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Benzac (เบนแซค) เป็นยาทาสำหรับลดสิว มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียบนผิว ลดน้ำมันส่วนเกินบนผิวหน้า แต่ข้อเสียคือ อาจทำให้ผิวแห้งและไวต่อแสงมากขึ้น

จึงควรบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์หนักๆและทาครีมกันแดดทาหน้าทุกครั้งหลังออกบ้าน ความเข้มข้น Benzoyl Peroxide ที่แนะนำอยู่ที่ 2.5-10% ผู้ที่ไม่เคยทามาก่อน ควรเริ่มที่ความเข้มต่ำๆเพื่อป้องกันการไหม้ของผิวที่อาจเกิดขึ้นได้

6.แต้มสิวเป็นจุดด้วย tea tree oil

ที ทรี ออยล์ (Tea Tree Oil) สกัดจากใบของต้นทีทรีจนได้น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ 100% เป็นที่รู้กันว่ามีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และลดการอักเสบของผิว

วิธีใช้
ผสมที ทรี ออยล์ 1 ส่วนกับน้ำ 9 ส่วน
ใช้คอนตอนบัดจุ่ม และแต้มสิวเป็นจุดๆ
ทาสกินแคร์ที่ไม่ส่วนผสมของน้ำหอมทับ

7.มาส์กหน้าด้วยสูตรธรรมชาติ ทำเอง

วิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง
น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล หรือ แอปเปิ้ลไซเดอร์ มีกรดผลไม้ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes และสามารถช่วยลดรอยดำจากสิวได้
วิธีทำ
ผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ส่วนกับน้ำ 3 ส่วน (ผิวบอบบางผสมน้ำเยอะขึ้น)
ทาหลังจากล้างหน้าให้สะอาด
ทิ้งไว้ 30 วินาที และล้างออก
ทำวันละครั้ง
ทาว่านหางจระเข้ ช่วยลดการอักเสบของสิว
วิธีทำ
ตัดอโลเวร่าจากต้น หรือใช้อโลเวร่า 100% 
ชโลมบนผิวหน้า
ทิ้งไว้ 5 นาที
ล้างออก
มาส์กน้ำผึ้ง+มะนาว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และลดสิวอักเสบ
วิธีทำ 
• น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา + บีบน้ำมะนาว ½  ลูก ผสมน้ำ 3 ส่วน (ผิวบอบบางผสมน้ำเยอะขึ้น)
ทาให้ทั่วหน้าทิ้งไว้ 20-30 นาที
ล้างออก แล้วทาสกินแคร์ที่ไม่ส่วนผสมของน้ำหอม

8.ทานอาหารเสริมพวกน้ำมันตับปลา ลดสิวอักเสบ

โอเมก้า-3 เป็นไขมันดี ที่มีส่วนประกอบของ eicosapentaenoic acid (EPA) และ docasahexaenoic acid (DHA) งานวิจัยรองรับ ว่ามีฤทธิ์ในการลดโอกาสการเกิดสิว ในงานวิจัยทดสอบกลุ่มคนเป็นสิว 45 คนให้ทดลองทานโอเมก้า-3 ทุกวันเป็นเวลา 10 สัปดาห์

พบว่า การเกิดสิวอักเสบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในผู้ใหญ่ปริมาณที่ควรทานต่อคน อยู่ที่ 250 กรัมต่อวัน ซึ่งโอเมก้า-3 ไม่จำเป็นต้องทานอาหารเสริมเสมอไป สามารถได้รับโอเมก้า-3 จาก แซลม่อน,วอลนัท,เมล็ดเจีย(chia seed) หรือ เมล็ดแฟล็กซ์ (flax seed)

สำหรับใครที่สงสัยว่าจะซื้อ น้ำมันปลา fish oil ยี่ห้อไหนดี ลองกดอ่านบทความนี้เลย

9.ล้างหน้าให้สะอาดและสครับผิวหน้า

การล้างหน้าให้สะอาด ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆในวิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง ช่วยลดการเกิดสิวอุดตัน การทิ้งเมคอัพไว้บนใบหน้า ถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ดังนั้นก่อนนอนจึงควร ล้างเมพอัพด้วย สำลีชุบ cleansing oil/water/cream ทุกครั้ง ตามด้วยโฟมล้างหน้าลดสิวที่อ่อนโยน ล้างแล้วไม่ฝืดผิว เช็คโทนเนอร์ ทาเซรั่มที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และหมั่นสครับผิวหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

การสครับผิวหน้า เป็นสิ่งที่หลายๆคนมองข้าม ซึ่งแท้จริงแล้วการสครับผิวหน้า เป็นการกำจัดเซลล์ผิวที่ตามออกไป และช่วยลดแผลเป็นจากสิวได้ ทำให้ลดการอุดตันของสิวได้เป็นอย่างดี จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์สครับเม็ดละเอียด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกตามรูขุมขนได้ล้ำลึก แต่ไม่ควรใช้สครับเม็ดแข็ง หรือใช้น้ำตาลหรือเกลือขัดผิวหน้า เนื่องจากอาจเป็นการทำร้ายผิวมากกว่าให้ผลดี

10.ทานแป้งของหวานลดลง 

การทานของหวานลดลงสามารถลดการเกิดสิวได้จริง อ้างอิงจากวิจัยฉบับนี้ ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างอินซูลินกับระดับน้ำตาลในกระแสเลือด มีความผันแปรกับการเกิดสิว

ซึ่งเมื่อรับประทานอาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ปริมาณอินซูลินพีคสูงขึ้น ทำให้รูขุมขนผลิตซีบัม(sebum) หรือไขมันเพิ่มมากขึ้น โอกาสการเกิดสิวอุดตันก็เพิ่มสูงขึ้น

อาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้น
ขนมปัง เบเกอรี่
น้ำอัดลม
ขนมขบเคี้ยว
อาหารที่หวาน แต่ไม่ได้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
ผัก ผลไม้
ถั่ว
ขนมปังธัญพืช

11.ไม่ทานผลิตภัณฑ์จากนม

การทานผลิตภัณฑ์จากนม มีผลทำให้เพิ่มโอกาสการเกิดสิวขึ้นจริง อ้างอิงจากงานวิจัยฉบับนี้ เนื่องจากในนมมีฮอร์โมน IGF-1 และฮอร์โมนอื่นๆ ที่มีส่วนเป็นสาเหตุให้เกิดสิวขึ้นจริง

มีการทดลองในคนจำนวน 114 คนให้ดื่มนมเป็นประจำ พบว่ามีโอกาสการเกิดสิวมากกว่าคนที่ไม่ดื่มนมอย่างมีนัยสำคัญ อ้างอิง

12.ออกกำลังกาย ขับสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขน

นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อ ขจัดสิ่งสกปรกตกค้างในรูขุมขนแล้ว การออกกำลังกายยังช่วยลดความเครียด เพิ่มการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงและเพิ่มโอกาสการรักษาสิวให้หายได้อีกด้วย นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยปรับสมดุลระบบฮอร์โมนที่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดสิวอีกด้วย และที่สำคัญการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวันก็ยังล่วยทำให้สิวลดลงในทางอ้อมได้อีกด้วย

ทั้งนี้ทั้งนั้นการเกิดสิวขึ้นมา สาเหตุมาได้จากหลายปัจจัย ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้แนะนำให้ทาครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของ Salicylic Acid, Niacinamide หรือ Benzoyl Peroxide ที่มีหลายงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูง แต่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่ายในผู้ที่ผิวบอบบาง ทำให้หลายๆคนมองหาตัวเลือกวิธีอื่นในการรักษาสิว อย่างไรก็ตาม บทความดังกล่าวเป็นคำแนะนำเบื้องต้น ไม่ใช่ข้อแนะนำทางการแพทย์แต่อย่างใด ผู้อ่านควรพิจารณาตามความเหมาะสม และทางที่ดีควรทำการปรึกษาแพทย์ผิวหนังของท่านจะดีที่สุด

อ้างอิง

Matchamonraya Pathinonpipat

Matchamonraya Pathinonpipat

มัชช์ จบการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง
หรือ cosmetic science เป็นทั้งนักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และเป็นนักเขียนประจำของเว็บไซต์เรา มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับแบรนด์สินค้าออแกนิคมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Skin1004 THREE Origins เป็นต้น โดยมีความสนใจและความรู้ความเข้าใจในสกินแคร์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมมาจากธรรมชาติเป็นหลัก เน้นสร้างคอนเทนต์รวบรวมสกินแคร์ดีๆ แชร์ทริคการรักษาสิว ดูแลผิวแพ้ง่าย การชะลอวัย รวมทั้งหาผลิตภัณฑ์ใหม่มาแนะนำทุกคนกันค่ะ