มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เป็นสิ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป แต่จริง ๆ แล้วเป็นอีกหนึ่งไอเทมสำคัญอันดับต้นๆเลย เพราะเป็นครีมบำรุงช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น บำรุงผิวขาดน้ำ แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน เสมือนเสริมเกราะปกป้องผิวจากมลภาวะ ทำให้ผิวมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
โดย Moisturizer จะมีลักษณะและส่วนผสมที่ต่างกัน เพื่อตอบโจทย์ผิวหลายแบบ เติมความชุ่มชื้นที่แตกต่างกัน ทั้งสำหรับผิวมันขาดน้ำ ผิวมันเป็นสิว ผิวแห้ง ผิวผสม หรือผิวแพ้ง่าย เป็นสิว
เพราะฉะนั้น ในบทความนี้ได้รวบรวมมาแนะนำ 10 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ตัวไหนดี ยี่ห้อต่างๆ มาให้เลือกเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวเรา คัดมาแล้วว่าเนื้อครีมเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันผิว และตอบโจทย์ตรงกับคุณที่สุดกัน
TOP 3 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ดีที่สุด
#1 CeraVe PM Facial Moisturizing Lotion
ราคา 550 บาท
#2 Physiogel Daily Moisture Therapy Cream
ราคา 720 บาท
#3 Hada Labo Super Hyaluronic Acid Moisturizing Lotion
ราคา 520 บาท
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ คืออะไร
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ คือ สกินแคร์ที่ช่วยในการเติมน้ำให้กับผิว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิว หลายคนอาจคิดว่าเหมาะกับคนที่มีผิวแห้งเท่านั้น
แต่ความจริงแล้วสามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว ทั้งผิวธรรมดา ผิวผสม ผิวบอบบางแพ้ง่าย แม้แต่คนผิวมันก็สามารถใช้ได้ เพียงแต่ต้องเลือกให้เหมาะกับผิวของตัวเอง โดยจะมีเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน แบ่งได้คือ
- เนื้อเจล – มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้มีความบางเบากว่าแบบอื่น เย็นสบายผิว ซึมลงผิวได้ง่าย และรวดเร็ว
- เนื้อโลชั่น – เข้มข้นกว่าเนื้อเจล แต่บางเบากว่าเนื้อครีม เหมาะกับผิวธรรมดา ไปจนถึงคนผิวมัน
- เนื้อครีม – จะมีความเข้มข้น และหนักมากกว่าประเภทอื่น ให้ความชุ่มชื้นสูง เหมาะกับผิวที่แห้ง หรือผิวลอกเป็นขุย ที่ต้องการบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ช่วยอะไร
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ช่วยบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้น โดยจะช่วยปรับผิวให้อิ่มน้ำมากขึ้น ฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้านให้กลับมาชุ่มชื้น เนียนนุ่ม เสริมปราการเซลล์ผิว ทำให้ผิวแข็งแรง กระชับ และเมื่อใช้เป็นประจำในระยะยาว จะช่วยในการลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้
ซึ่งการเลือกครีมบำรุงผิวหน้า ต้องดูด้วยว่ามีส่วนผสมเคลือบกักเก็บความชุ่มชื้นที่ดีหรือไม่ โดยดูได้จากความสามารถลดการสูญเสียน้ำให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการดูดซึมเข้าผิวได้อย่างรวดเร็ว เห็นผลได้ทันที
วิธีการเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดีให้เหมาะกับผิว
- ผิวธรรมดา – สามารถใช้ครีมทาหน้าได้ทุกแบบ โดยสามารถปรับใช้ตามสภาพอากาศ ถ้าเน้นความเบา สบายผิว อาจจะเลือกเป็นเนื้อโลชั่น หรือหากต้องการความชุ่มชื้นมากกว่าปกติ ก็เลือกแบบที่มีน้ำมันก็ได้
- ผิวแห้ง – ควรเลือกเนื้อสัมผัสมีความเข้มข้น ล็อกความชุ่มชื้นได้นาน ลดสูญเสียน้ำจากเซลล์ผิว ซึ่งแบบครีม จะตอบโจทย์มากที่สุด
- ผิวมัน – ควรเลือกสูตรที่ไม่มีน้ำมัน บางเบา และซึมง่าย
- ผิวผสม – เลือกที่มีอัตราส่วนของน้ำ และน้ำมันเท่า ๆ กัน เพื่อช่วยในการปรับสมดุลผิว
- ผิวบอบบางแพ้ง่าย หรือ เป็นสิวง่าย – ควรเน้นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ สกินแคร์ผิวแพ้ง่าย ที่ปราศจากสารที่ก่อการระคายเคือง สามารถปลอบประโลมผิว และมอบความชุ่มชื้นให้ผิวได้
ตารางเปรียบเทียบ “มอยเจอร์ไรเซอร์” แต่ละยี่ห้อ
สินค้า | เช็คส่วนลดที่ | จุดเด่น |
CeraVe PM Facial Moisturizing Lotion 550 บาท |
| |
Physiogel Daily Moisture Therapy Cream 720 บาท |
| |
Hada Labo Super Hyaluronic Acid Moisturizing Lotion 520 บาท |
| |
Vichy Normaderm Phytosolution Daily Care 1,150 บาท |
| |
MizuMi Cica Soothing Moisture Gel 690 บาท |
| |
La Roche-Posay Effaclar Duo (+) 999 บาท |
| |
Kiehl’s Ultra Facial Oil Free Gel Cream 1,450 บาท |
| |
La Roche-Posay Effaclar Mat 990 บาท |
| |
Cetaphil Moisturizing Cream 980 บาท |
| |
Neutrogena Hydro Boost Water Gel 499 บาท |
|
จะเลือกซื้อ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ยี่ห้อไหนดี 2566
1. โดยรวมดีที่สุด : CeraVe PM Facial Moisturizing Lotion
ราคา 550 บาท
ข้อดี
+ ปราศจากน้ำหอม พาราเบน
+ ไม่อุดตันผิว
ข้อเสีย
– ถ้าคนผิวมันมากไม่เหมาะที่จะใช้ก่อนแต่งหน้า
มอยส์เจอร์ไรเซอร์อันดับ 1 ต้องให้ Cerave ตัวนี้เลยจริงๆ เพราะสามารถกู้ผิวแห้งกร้านขาดน้ำที่ลอกเป็นขุยได้ดีสุด ๆ เรียกได้ว่าเป็นครีมสามัญประจำบ้านเลย เนื้อสัมผัสจะเป็นเนื้อโลชั่น เกลี่ยง่าย ซึมไว ให้ผิวมีความชุ่มชื้น ประกอบด้วยเซราไมด์ 3 ชนิด ช่วยฟิ้นฟูและเสริมปราการผิวให้แข็งแรง
มีส่วนผสมของ Niacinamide ช่วยลดเลือนรอยดำ รอยแดงจากสิว และ Hyaluronic Acid ที่จะช่วยเติมเติมความชุ่มชื้นให้ผิวยาวนานตลอดวัน เหมาะมากกับคนผิวแห้ง ผิวบอบบางแพ้ง่าย ซึ่งใครที่ได้ใช้ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าปังจริง สาว ๆ ที่กำลังมองหาครีมบำรุงผิวหน้า ถูกและดี ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง แนะนำมอยส์เจอร์ไรเซอร์ cerave ตัวนี้เลย ใช้แล้วเพิ่มความชุ่มชื้นสุด! สมคำร่ำลือแน่นอน
ปริมาณ 52 ml : ราคา 550 บาท (ตก ml ละ 10.5 บาท)
ส่วนประกอบสำคัญ | เซราไมด์ 3 ชนิด, Niacinamide, Hyaluronic Acid |
เนื้อสัมผัส | เนื้อโลชั่น |
เหมาะกับ | ทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแห้ง |
2. เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายที่ดีที่สุด : Physiogel Daily Moisture Therapy Cream
ราคา 720 บาท
ข้อดี
+ อ่อนโยนมาก ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และพาราเบน
+ ใช้ได้ทั้งผิวหน้า และผิวกาย
ข้อเสีย
– ถ้าใช้ตอนกลางวันอาจจะหนักหน้าไป
เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวบอบบาง แพ้ง่าย เพราะสกัดจากธรรมชาติอย่างน้ำมันมะพร้าว และเชียบัตเตอร์ มีส่วนผสมจากเซราไมด์ 3 ชนิด เป็นปราการชั้นผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ที่จะช่วยปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก ทั้งฝุ่น มลภาวะต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปทำร้ายผิว
อีกทั้งยังมีสารสกัดจากมะกอกช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้นยาวนาน ลดผิวแห้งซ้ำซาก แบบไม่ก่อเกิดการอุดตัน โดยผ่านการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแล้วว่า อ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว เด็กก็สามารถใช้ได้ และไม่อุดตันรูขุมขน สาว ๆ ที่มองหา มอยส์เจอร์ไรเซอร์เสริมชั้นผิวดี ๆ ห้ามพลาดตัวนี้เด็ดขาด!
ปริมาณ 75 ml : ราคา 720 บาท (ตก ml ละ 9.6 บาท)
ส่วนประกอบสำคัญ | เซราไมด์ 3 ชนิด, น้ำมันมะกอก |
เนื้อสัมผัส | เนื้อครีม |
เหมาะกับ | ผิวแห้ง, ผิวบอบบางแพ้ง่าย |
3. ถูกและดีที่สุด : Hada Labo Super Hyaluronic Acid Moisturizing Lotion
ราคา 520 บาท
ข้อดี
+ ราคาถูก หาซื้อง่าย
+ เนื้อบางเบา ซึมไว
+ ไม่มีแอลกอฮอล์ และน้ำหอม
ข้อเสีย
– ไม่ค่อยช่วยในผิวที่แห้งมากจนเป็นขุย
ฮาดะ ลาโบะ ขวดสีขาวตัวดังจากประเทศญี่ปุ่น เป็นเนื้อโลชั่นใส มีความเหลว ซึมง่ายมากก ผสานกรดไฮยาลูรอนิกมากถึง 4 ชนิด ที่มีขนาดโมเลกุลต่างกัน ทั้ง Large-size Hyaluronic Acid, Medium-size Hyaluronic Acid, Super Hyaluronic Acid และ Nano Hyaluronic Acid ให้เข้าไปเติมเต็มความชุ่มชื้นได้ลึกทุกชั้นผิว
โดยมาพร้อมเทคโนโลยี HPP&M ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไฮยาลูรอน ให้ผิวมีความอิ่มน้ำขั้นสุด สามารถปรับผิวแห้งกร้านให้กลับมาชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวหน้าเนียนละเอียด ใครที่มีผิวแห้งขาดน้ำ จะเลือกใช้ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เติมน้ำให้ผิว แนะนำให้ไปสอยตัวนี้มาติดบ้านไว้ได้เลยย
ปริมาณ 170 ml : ราคา 520 บาท (ตก ml ละ 3 บาท)
ส่วนประกอบสำคัญ | Hyaluronic Acid |
เนื้อสัมผัส | เนื้อโลชั่น |
เหมาะกับ | ผิวธรรมดา, ผิวแห้ง, ผิวผสม |
4. เหมาะสำหรับรักษาสิว : Vichy Normaderm Phytosolution Daily Care
ราคา 1,150 บาท
ข้อดี
+ มีกลิ่นหอมธรรมชาติ
+ เนื้อบางเบา ซึมง่าย
ข้อเสีย
– ไม่เหมาะกับผิวที่แห้งมาก ๆ
ใครมีปัญหาสิว แนะนำ moisturizer ผิวมันตัวนี้เลย เพราะเป็นเวชสำอางที่ช่วยเสริมปราการผิวให้มีความแข็งแรง มีส่วนผสมจากซาลิไซลิก แอซิด ที่ช่วยลดการอักเสบ จัดการปัญหาสิวได้อย่างอ่อนโยน ช่วยขจัดสิวอุดตัน หมดปัญหาสิวซ้ำซาก และมีไฮยาลูรอนจากธรรมชาติ ที่จะมอบความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนาน ผิวดูอิ่มน้ำ
นอกจากนี้ มอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรนี้ ยังประกอบไปด้วยสารสกัดน้ำแร่ภูเขาไฟวิซี่ มากถึง 60% ทำให้มีความบางเบา ช่วยปรับสมดุล pH ให้กับผิว และเพิ่มความชุ่มชื้น ซึ่งน้ำแร่นี้เป็นสารสกัดที่มีต้นกำเนิดมาจากธรรมชาติที่ใช้ในวงการแพทย์นั่นเอง สาว ๆ ที่อยากกำจัดปัญหาสิวกวนใจ จะใช้ มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับคนเป็นสิว Vichy ตัวนี้ช่วยจบเรื่องสิว ๆ แน่นอน
ปริมาณ 50 ml : ราคา 1,150 บาท (ตก ml ละ 23 บาท)
ส่วนประกอบสำคัญ | salicylic acid, ไฮยาลูรอน, น้ำแร่ภูเขาไฟวิซี่ |
เนื้อสัมผัส | เนื้อครีม |
เหมาะกับ | ผิวที่มีปัญหาสิว, ผิวผสม, ผิวมัน |
5. เหมาะสำหรับผิวมันขาดน้ำ เป็นสิว : MizuMi Cica Soothing Moisture Gel
ราคา 690 บาท
ข้อดี
+ อ่อนโยนต่อผิวมาก
+ ไม่อุดตัน
ข้อเสีย
– ถ้าเป็นช่วงที่ผิวแห้งขาดน้ำมาก ๆ อาจจะเอาไม่อยู่
มอยเจอร์ไรเซอร์ สำหรับสาวผิวมันขาดน้ำ ตัวนี้มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ และสารสกัดจากใบบัวบก ที่จะช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง พร้อมฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแรง มีความชุ่มชื้น นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันผิวจาก PM 2.5 ได้อีกด้วย ปังสุด! ในส่วนของเนื้อสัมผัส จะเป็นเนื้อเจลบางเบา ทาแล้วซึมซาบเข้าสู่ผิวได้รวดเร็วมาก
หลังทาแล้วผิวหน้าชุ่มชื้นและฉ่ำวาว อ่อนโยนต่อผิวมากด้วย เพราะปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง 5 ชนิด ทั้งน้ำหอม แอลกอฮอล์ พาราเบน สี และซิลิโคน คนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายก็ใช้ได้สบาย ๆ เลย ใครเป็นคนผิวมัน เป็นสิวง่าย ต้องลองมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อผิวมันขาดน้ำตัวนี้เลย
ปริมาณ 45 ml : ราคา 690 บาท (ตก ml ละ 15.3 บาท)
ส่วนประกอบสำคัญ | ว่านหางจระเข้, สารสะกัดจากใบบัวบก, สารสกัดจากจุลินทรีย์ |
เนื้อสัมผัส | เนื้อเจล |
เหมาะกับ | ผิวมัน มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย, ผิวผสม |
6. เหมาะสำหรับรักษาสิวอุดตันได้ดี : La Roche-Posay Effaclar Duo (+)
ราคา 999 บาท
ข้อดี
+ ลดปัญหาสิวเกิดซ้ำ ลดสิวอุดตัน
+ อ่อนโยนต่อผิว
ข้อเสีย
– ราคาค่อนข้างสูง
สาว ๆ ที่มีสิวอุดตันรำคาญใจ เพราะลาโรชสูตรนี้เติมความชุ่มชื้นให้ผิวแถมลดสิวไปในตัว เพราะเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ สำหรับผิวที่มันเป็นสิวโดยเฉพาะ โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
โดยจะมีส่วนผสมที่ลาโรชคิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะอย่าง AQUA POSAE FILIFORMIS (APF) ที่จะช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียบนผิว ลดแบคทีเรียร้าย เพิ่มแบคทีเรียดี จึงช่วยลดการเกิดสิวเกิดซ้ำ
โดยผสานกับโปรซีหลาด (Procerad) เพื่อลดรอยดำ รอยแดงที่เกิดจากสิว เพื่อน ๆ ที่อยากใช้ Moisturizer ที่ลดเกิดการอุดตันได้ หรือคนที่มีผิวมัน เป็นสิว ตัวนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
ปริมาณ 40 ml : ราคา 999 บาท (ตก ml ละ 25 บาท)
ส่วนประกอบสำคัญ | APF, Niacinamide, Procerad |
เนื้อสัมผัส | เนื้อครีม |
เหมาะกับ | ผิวบอบบางแพ้ง่าย |
7. เหมาะสำหรับผิวมัน : Kiehl’s Ultra Facial Oil Free Gel Cream
ราคา 1,450 บาท
ข้อดี
+ เนื้อเจลมีความเย็นสดชื่น
+ ปราศจากน้ำหอม พาราเบน
ข้อเสีย
– ราคาแพง
คนผิวมันต้องชอบสกินแคร์แบรนด์ Kiehl’s ตัวนี้แน่นอน เพราะมีความเบาบาง สบายผิวมาก เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรเนื้อเจล ซึมเร็ว หายไปกับผิวเหมือนไม่ได้ทา แต่ยังให้ผิวมีความชุ่มชื้นดีมาก มีส่วนผสมจากสารสกัดจากรากหญ้าคา (Imperata Cylindrica Root Extract) และแอนตาร์กติซีน (Antarcticine) เพื่อช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำใต้ผิว เพิ่มความชุ่มชื้นดียิ่งขึ้น
อีกทั้งยังปรับสมดุลผิว ควบคุมความมันบนใบหน้า ซึ่งตัวนี้เป็นสูตรออยล์ฟรี เหมาะมากกับผิวมันที่ขาดน้ำ นอกจากนี้ ยังมีอะมิโนแอซิดขนาดเล็ก ที่จะให้ความเย็นสดชื่นหลังทาลงบนผิวอีกด้วย ใครเป็นคนผิวมันที่กำลังมองหาครีมทาหน้า ไม่ทำให้หน้ามันเพิ่ม ซึมไว หรือไม่ทำให้เกิดการอุดตัน ตัวนี้คิดว่าปังมาก!
ปริมาณ 50 ml : ราคา 1,450 บาท (ตก ml ละ 29 บาท)
ส่วนประกอบสำคัญ | รากหญ้าคา, Antarcticine, Amino acids |
เนื้อสัมผัส | เนื้อเจล |
เหมาะกับ | ผิวมัน, ผิวธรรมดา |
8. เหมาะช่วยกระชับรูขุมขน : La Roche-Posay Effaclar Mat
ราคา 990 บาท
ข้อดี
+ ไม่อุดตันผิว
+ เนื้อแมตต์ ช่วยเบลอรูขุมขน
ข้อเสีย
– ราคาสูง
ครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ลาโรชตัวนี้ตอบโจทย์สำหรับคนที่มีรูขุมขนกว้าง เนื่องจากผสานพลังจาก Sebulyse ที่แพทย์ทดสอบแล้วว่ามีคุณสมบัติช่วยลดและควบคุมความมันส่วนเกินมากกว่าซิงค์ (Zinc) ซึ่งเป็นสาเหตุของรูขุมขนกว้าง พร้อมด้วย LHA ที่จะช่วยฟื้นบำรุงผิวขาดน้ำ ลดการอุดตัน รวมทั้งผลัดเซลล์ผิวโดยไม่ระคายเคือง
เป็นมอยซ์เจอร์ไรเซอร์สูตรเนื้อแมตต์ ที่มีความบางเบา ซึมซาบเร็ว ปราศจากน้ำมัน หลังใช้จะรู้สึกได้เลยว่าผิวดูชุ่มชื้น รูขุมขนกระชับมากยิ่งขึ้น ไม่ก่อให้เกิดสิวเพิ่ม เหมาะกับผิวมัน เป็นสิวเลยล่ะ
ปริมาณ 40 ml : ราคา 990 บาท (ตก ml ละ 24.75 บาท)
ส่วนประกอบสำคัญ | Sebulyse, LHA |
เนื้อสัมผัส | เนื้อครีมแมตต์ |
เหมาะกับ | ผิวมัน, ผิวผสม |
9. เหมาะสำหรับผิวแห้ง: Cetaphil Moisturizing Cream
ราคา 980 บาท
ข้อดี
+ อ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม
+ กระปุกใหญ่ ใช้ได้นาน
+ ใช้ได้ทั้งผิวหน้า และผิวกาย
ข้อเสีย
– ไม่ค่อยเหมาะที่จะใช้ตอนกลางวัน
ใครผิวพัง อ่อนแอขั้นสุด ยกให้ตัวนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเลย โดยมีส่วนผสมของ Emollients และ Humectants จะช่วยฟื้นบำรุงล้ำลึกถึงโครงสร้างผิว กู้คืนผิวแห้ง แพ้ครีม แพ้เครื่องสำอาง ให้กลับมาแข็งแรง เพิ่มความชุ่มชื้น พร้อมเสริมเกราะปกป้องผิวจากมลภาวะ สามารถใช้คู่กับการรักษาสิว ลดอาการแสบ แดง ลอก หรือการระคายเคืองผิวจากการทำเลเซอร์ ลดการสูญเสียน้ำจากเซลล์ผิว
โดยคนที่เป็นโรคผิวหนังก็สามารถใช้ได้ เป็นครีมที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์สูงแต่ไม่เหนียวเหนอะหนะ เพื่อน ๆ ที่ผิวแห้งลอกเป็นขุย มีอาการแพ้ เป็นผื่น และระคายเคือง ตามหาครีมทาหน้าที่จะมาช่วยกู้ผิวพัง ต้องรีบไปตำ Cetaphil ตัวนี้เพื่อบำรุงให้มีความชุ่มชื้น ลดปัญหาผิวแห้งกร้านกัน
ปริมาณ 453 g : ราคา 980 บาท (ตก g ละ 2.16 บาท)
ส่วนประกอบสำคัญ | Emollients, Humectants |
เนื้อสัมผัส | เนื้อครีม |
เหมาะกับ | ผิวแห้งกร้าน-แห้งมาก, ผิวบอบบางแพ้ง่าย |
10. เหมาะสำหรับผิวผสม: Neutrogena Hydro Boost Water Gel
ราคา 499 บาท
ข้อดี
+ เนื้อครีมเจลเย็น สบายผิว
+ ผิวนุ่ม ชุ่มชื้นทันทีหลังทา
+ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
ข้อเสีย
– กลิ่นน้ำหอมค่อนข้างแรง
– ถ้าผิวแห้งมาก ๆ อาจจะเอาไม่อยู่
นูโทรจีน่าตัวนี้เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ วัตสัน ที่มีรีวิวเยอะมาก เนื้อครีมเจลซึมง่าย ไม่ทิ้งความเหนอะ หลังทาแล้วได้ผิวที่นุ่ม ชุ่มชื้นขึ้นทันที เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวขาดน้ำหรือผิวที่เกิดสูญเสียน้ำจากเซลล์ผิวง่าย
ตัวนี้ผสานไปด้วย Hyaluronic Acid (กรดไฮยาลูรอนิก), Olive Extract และ Ionic Mineral Complex จะช่วยบูสต์ผิวหน้าให้มีความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี
พร้อมด้วยเทคโนโลยี Progressive Release System ที่จะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวตลอด 24 ชั่วโมง สามารถใช้ได้ทั้งตอนเช้า และก่อนนอน คนที่ผิวขาดน้ำ อุดตันง่ายที่ไม่รู้ว่าจะเลือก มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ตัวไหนดี ตามไปสอยตัวนี้มาลองได้
ปริมาณ 50 g : ราคา 499 บาท (ตก g ละ 9.9 บาท)
ส่วนประกอบสำคัญ | Hyaluronic Acid, Olive Extract, Ionic Mineral Complex |
เนื้อสัมผัส | เนื้อเจล |
เหมาะกับ | ทุกสภาพผิว |
ส่วนผสมหลักที่ดีในมอยส์เจอร์ไรเซอร์
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ดี ควรประกอบด้วยสารสำคัญ 3 ชนิด คือ Humectants, Emollients และ Occlusives สาว ๆ ต้องพิจารณาสารสำคัญเหล่านี้ด้วย
Humectants – สารกักเก็บความชุ่มชื้น
เป็นสารที่มีคุณสมบัติเด่นในการอุ้มน้ำ ช่วยกักเก็บน้ำ และดูดซับน้ำไว้ในผิวหนังไม่ให้ระเหยออกไป โดยสารตัวนี้ ยังสามารถดึงน้ำในอากาศมากักเก็บไว้ที่ผิวได้ด้วยเช่นกัน
สารกลุ่มประเภทนี้ตัว อย่างเช่น Hyaluronic Acid, Sodium PCA, กรดแลคติค (lactic acid) และกลีเซอรีน ซึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลต่ำ โดยจะใช้เป็นสารตั้งต้นในมอยส์เจอร์ไรเซอร์ โดยนำไปประกอบใช้ร่วมกับกับสารอื่น ๆ เพื่อมาช่วยรักษาปริมาณน้ำ และกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น
Emollients – สารให้ความนุ่มลื่น
มักจะมีพาราฟินเป็นส่วนประกอบในมอยส์เจอร์ไรเซอร์ มีคุณสมบัติเป็นเกราะป้องกันผิว ช่วยให้ผิวมีความเนียนนุ่ม หลังการใช้ สารนี้ละลายน้ำได้น้อย แต่ไม่ก่อตัวเคลือบผิวเหมือน occlusive ส่วนผสมของสารตัวนี้ เช่น น้ำมัน กรดไขมัน และเซราไมด์ ซึ่งล้วนเป็นสารที่เพิ่มความชุ่มชื้นได้ดี ช่วยให้ผิวนุ่มลื่น สามารถใช้รักษาโรคผิวแห้งเรื้อรังได้
Occlusives – สารเคลือบผิว
เป็นสารที่ประกอบไปด้วยน้ำมัน และแว็กซ์ เช่น ปิโตรลาทัม (หรือปิโตรเลียม เจลลี่), ขี้ผึ้ง, mineral oil, ไดเมทิโคน และลาโนลิน (lanolin) มีคุณสมบัติในการปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน
โดยเมื่อทาลงทั่วใบหน้าแล้ว จะกระจายตัวเป็นแผ่นฟิล์มบาง ๆ เคลือบผิวไว้ เพื่อไม่ให้น้ำจากผิวหนังซึมออกไปนั่นเอง อีกทั้ง ยังสามารถเป็นเกราะให้กับผิว ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สารเคมีเกิดการระคายเคืองต่อผิว ทำให้ผิวแข็งแรงได้อีกด้วย จึงเป็นสารที่ควรมีในมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ดี
คำถามที่พบบ่อย
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ใช้ยังไง ทาตอนไหน?
ใช้หลังอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ จะดีที่สุด เพราะเป็นช่วงที่รูขุมขนเปิด ทำให้สารต่าง ๆ สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งเวลาที่เหมาะสมคือ 3 นาทีหลังอาบน้ำเสร็จ โดยวิธีการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์คือ
1.ปาดเนื้อครีมให้ทั่วใบหน้า ทั้งหน้าผาก จมูก แก้ม และคาง
2.ใช้นิ้วมือค่อย ๆ นวดขึ้น-ลง ให้ทั่วใบหน้า โดยวนเป็นวงกลม ให้เนื้อซึมเข้าไปในผิวจนหมด อย่าลืมหลีกเลี่ยงผิวรอบดวงตา
3.ทาซ้ำในบริเวณที่แห้งกว่าส่วนอื่น ๆ จากนั้นบำรุงผิวขั้นต่อไปได้เลย
สามารถใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ขึ้นอยู่กับผิวแต่ละแบบ ความเข้มข้นของมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ รวมถึงไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนด้วย
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ช่วยอะไร?
1.ปรับโทนสีผิวให้สว่าง กระจ่างใส – เพราะบางตัว มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) ที่มีคุณสมบัติช่วยในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า ให้ริ้วรอยและจุดด่างดำดูจางลง เผยผิวสว่าง กระจ่างใสนั่นเอง
2.ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน – จากส่วนผสมของสารที่ให้ความชุ่มชื้นในมอยเจอร์ไรเซอร์ เช่น กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid), กรดแลคติค (lactic acid) และกลีเซอรีน จะเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ดูสุขภาพดี อิ่มน้ำ
3.ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน – กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) ในมอยเจอร์ไรเซอร์บางตัว จะช่วยลดการอักเสบ และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งกำจัดสิวหัวดำ ส่งผลให้สิวลดลง ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
ควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ บ่อยแค่ไหน?
สามารถใช้ได้เป็นประจำวันละ 1-2 ครั้ง ในตอนเช้า หรือหลังจากล้างหน้าเสร็จแล้ว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผิวของคุณ และความเข้มข้นของส่วนผสมด้วย รวมทั้งส่วนผสมอื่น ๆ ว่ามีผลต่อเกราะป้องกันผิวหรือไม่ อย่างเช่น เรตินอยด์ (Retinoids) หรือ กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) จะมีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิว อาจจะทำให้ผิวไวต่อแดด และผิวเกิดระคายเคืองได้นั่นเอง
ใช้เซรั่มควบคู่กับมอยส์เจอร์ไรเซอร์ยังไง?
สามารถใช้เซรั่มก่อน รอให้ซึมลงผิวจนหมด แล้วค่อยตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้เลย เพราะตามกฎการลงสกินแคร์จะต้องลงเนื้อบางเบาที่สุดก่อน (เซรั่ม-น้ำ-เจล) ไปจนถึงเนื้อที่หนักที่สุด (ครีม-น้ำมัน) ซึ่งเซรั่มส่วนใหญ่จะมีเนื้อบางเบากว่าอยู่แล้ว
ควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เยอะแค่ไหน?
ปริมาณที่แนะนำคือ ประมาณหนึ่งเหรียญ หรือปริมาณเท่ากับเมล็ดอัลมอนด์ ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละคนด้วยว่า มีความแห้งมากน้อยขนาดไหน รวมทั้งดูความเข้มข้นของเนื้อครีมที่เราใช้อยู่ด้วย โดยเพื่อน ๆ สามารถพิจารณาได้ตามความเหมาะสมเลย
moisturizer กับ moisturizing ต่างกันยังไง?
2 คำนี้มีความหมายเหมือนกันแต่ต่างกันที่ moisturizer เป็นคำนามแปลว่าครีมหรือโลชั่นสำหรับเพิ่มความชุ่มชื้น ส่วน moisturizing เป็น Gerund หรือ Present Participle จากคำกริยา moisturize ที่แปลว่าทำให้ชุ่มชื้น
Moisturizer แนะนําแต่ละยี่ห้อ แต่ละสูตร แม้ว่าจะมีส่วนผสมหลักที่คล้ายกัน แต่ก็มีส่วนผสมอื่น ๆ ที่แตกต่างกัน ซึ่งผลลัพธ์กับผิวที่ได้ ก็จะมีความแตกต่างกันด้วย
ดังนั้น สาว ๆ อย่าลืมเปรียบเทียบส่วนผสมก่อนที่จะซื้อ เพื่อให้ Moisturizer Cream ช่วยฟื้นบำรุงผิว เพิ่มความชุ่มชื้นได้อย่างตรงจุด และตอบโจทย์กับผิวของตัวเองได้ดีที่สุด
โดยสามารถใช้ข้อมูลจากบรรดามอยส์เจอร์ไรเซอร์ ตัวไหนดี ยี่ห้อไหนดี ที่รวบรวมมาให้นี้ ไปเป็นอีกหนึ่งส่วนในการช่วยเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิวของเราแถมยังมีช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์ไว้ให้ด้วย
อ้างอิง
https://www.webmd.com/beauty/features/moisturizers
https://www.masterclass.com/articles/types-of-moisturizers
https://yodersmill1969.blogspot.com/2021/11/peter-thomas-roth-rose-stem-cell-bio.html